ใน
บันทึกเยียนจิง (燕京 เป็นชื่อเรียกปักกิ่งในอดีต) ระบุไว้ว่า
ในอดีต“เมื่อถึงวันไหว้พระจันทร์ (中秋节)
ชาวเมืองจะนำดินเหลืองมาปั้นเป็นรูปกระต่ายออกจำหน่าย
โดยเรียกกระต่ายเหล่านี้ว่า “เทพเจ้ากระต่าย”
เนื่องจากจีนมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับกระต่ายหยกบนวังจันทรา
ดังนั้นคนสมัยก่อนจึงเชื่อว่าเวลาไหว้พระจันทร์ก็ต้องถวายเทพเจ้ากระต่าย
นั่นเอง"
ยัง
มีอีกตำนานเล่าขานเกี่ยวกับความผูกพันระหว่างเมืองปักกิ่งกับกระต่ายเทพ
ว่ากันว่ามีอยู่ปีหนึ่งในเมืองปักกิ่งบังเกิดโรคอหิวาตกโรคระบาดหนัก
เกือบทุกบ้านมีผู้ติดเชื้อ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย
เมื่อเทพธิดาฉางเอ๋อซึ่งอยู่บนดวงจันทร์ได้มองลงมาเห็นภัยพิบัติบนโลกมนุษย์
ก็ให้รู้สึกทุกข์ใจยิ่ง
จึงได้ส่งกระต่ายหยกข้างกายที่ปกติตำยาอยู่บนดวงจันทร์ลงมารักษาโรคชาวบ้าน
กระต่าย
หยกแปลงกายเป็นหญิงสาวไปรักษาผู้คนหายจากโรค
ชาวบ้านรู้สึกซาบซึ้งใจในความช่วยเหลือ จึงได้ตอบแทนด้วยการให้สิ่งของ
แต่กระต่ายหยกไม่ยอมรับสิ่งใดเลย แค่ขอยืมชุดชาวบ้านใส่
ไปถึงไหนก็จะเปลี่ยนชุดไปเรื่อย บางทีก็เห็นแต่งกายเป็นคนขายน้ำมัน
บ้างก็เป็นหมอดูดวง บ้างแต่งกายเป็นชาย บ้างแต่งเป็นหญิง
และเพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น กระต่ายหยกจะขี่ม้าบ้าง
กวางบ้าง สิงโตบ้าง หลังจากกำจัดโรคภัยให้ชาวเมืองเสร็จเรียบร้อย
กระต่ายหยกก็กลับขึ้นไปยังวังจันทรา
นับแต่นั้นมาชาวบ้านจึงได้กราบไหว้บูชาเทพเจ้ากระต่าย
หลังจากผ่านกาลเวลาหลายสมัย ด้วยความกล้าของศิลปินจีนจึงได้พัฒนารูปลักษณ์ของเทพเจ้ากระต่ายให้มีเอกลักษณ์มากขึ
้น โดยช่างจะปั้นให้กระต่ายเทพมีเศียรเป็นกระต่ายร่างกายเป็นคน มือถือสากหยกตำยา ประทับอยู่บนสัตว์พาหนะ ที่เห็นบ่อยๆ ก็คือเสือ
ส่วน
ต้นกำเนิดความเชื่อของเทพเจ้ากระต่ายมีขึ้นในสมัยใดนั้น ยังเป็นที่ถกเถียง
แต่ที่แน่ๆ
คือในสมัยราชวงศ์หมิงชาวบ้านก็เริ่มนิยมนำเทพเจ้ากระต่ายมาเป็นเครื่องเซ่น
ไหว้พระจั
นทร์แล้ว จวบจนในสมัยราชวงศ์ชิงบทบาทของเทพเจ้ากระต่ายเริ่มเปลี่ยนแปลงกลายมาเป็นของเล่นเด็ก
ใน
วันเทศกาลไหว้พระจันทร์ เพราะสมัยก่อนหากคิดจะกล่อมให้เด็กเชื่อฟัง
พ่อแม่ก็มักจะเอาเรื่องเล่าของเทพเจ้ามาหลอมรวมกัน
ดังนั้นเทพเจ้ากระต่ายจึงนับเป็นของเล่นเก่าแก่ของเมืองหลวงจีนและยังเป็น
งานศิลปะที
่สะท้อนชีวิตชาวปักกิ่งในวารวันด้วย ปัจจุบันใครได้ไปปักกิ่งคงยังเห็นเทพเจ้ากระต่ายในบางร้าน แต่ก็ไม่พรั่งพรูเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ตำนานกำเนิดกระต่ายหยก
ตำนาน เรื่องเล่าเกี่ยวกับพระจันทร์นั้นมีมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอู๋กัง ผู้ฝักใฝ่อยากเป็นเซียนจนไม่ศึกษาเล่าเรียน ถูกเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษให้ตัดต้นไม้อยู่บนดวงจันทร์ แต่ทุกครั้งที่ลงขวานรอยแยกของต้นไม้จะประสานกันเหมือนเดิม จึงทำให้อู๋กังไม่สามารถตัดต้นไม้ได้เสียที และเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดมา หรือจะเป็นตำนานฉางเอ๋อขโมยยาวิเศษโฮ่วอี้ ผู้เป็นสามี ลอยขึ้นมาสถิตอยู่ที่บนดวงจันทร์
รวมไปถึงตำนานกระต่ายหยกบนวังจัน ทราซึ่งมีเรื่องเล่าหลายเวอร์ชั่น บางตำราเล่าว่า ในมาแล้วเทพบนสวรรค์ 3 องค์ได้ลงมายังโลกมนุษย์และแปลงกายเป็นคนแก่น่าสงสาร 3 คน ไปขออาหารกับ จิ้งจอก ลิง และกระต่าย ทั้งจิ้งจอกและลิงนั้นต่างมีของกินสามารถช่วยเหลือแบ่งปันให้ผู้เฒ่าได้ มีเพียงแต่กระต่ายน้อยเท่านั้นที่ไม่มีหนทางช่วย กระต่ายน้อยจึงพูดขึ้นว่า “พวกท่านกินเนื้อของฉันเถอะ” ว่าแล้วก็กระโดดเข้าสู่กองไฟ เทวดาซาบซึ้งในน้ำใจของกระต่าย จึงได้ส่งกระต่ายขึ้นมาอยู่ที่วังจันทรากับเทพธิดาฉางเอ๋อนับแต่นั้น
ตำนาน เรื่องเล่าเกี่ยวกับพระจันทร์นั้นมีมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอู๋กัง ผู้ฝักใฝ่อยากเป็นเซียนจนไม่ศึกษาเล่าเรียน ถูกเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษให้ตัดต้นไม้อยู่บนดวงจันทร์ แต่ทุกครั้งที่ลงขวานรอยแยกของต้นไม้จะประสานกันเหมือนเดิม จึงทำให้อู๋กังไม่สามารถตัดต้นไม้ได้เสียที และเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดมา หรือจะเป็นตำนานฉางเอ๋อขโมยยาวิเศษโฮ่วอี้ ผู้เป็นสามี ลอยขึ้นมาสถิตอยู่ที่บนดวงจันทร์
รวมไปถึงตำนานกระต่ายหยกบนวังจัน ทราซึ่งมีเรื่องเล่าหลายเวอร์ชั่น บางตำราเล่าว่า ในมาแล้วเทพบนสวรรค์ 3 องค์ได้ลงมายังโลกมนุษย์และแปลงกายเป็นคนแก่น่าสงสาร 3 คน ไปขออาหารกับ จิ้งจอก ลิง และกระต่าย ทั้งจิ้งจอกและลิงนั้นต่างมีของกินสามารถช่วยเหลือแบ่งปันให้ผู้เฒ่าได้ มีเพียงแต่กระต่ายน้อยเท่านั้นที่ไม่มีหนทางช่วย กระต่ายน้อยจึงพูดขึ้นว่า “พวกท่านกินเนื้อของฉันเถอะ” ว่าแล้วก็กระโดดเข้าสู่กองไฟ เทวดาซาบซึ้งในน้ำใจของกระต่าย จึงได้ส่งกระต่ายขึ้นมาอยู่ที่วังจันทรากับเทพธิดาฉางเอ๋อนับแต่นั้น
0 comments:
Post a Comment